วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2561

กากี จากเรื่อง กากาติชาดก

ตุลาคม 31, 2561 0 Comments

กากี

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ นางกากี

         นางกากี นอกจากจะมีรูปกายงดงามราวกับเทพธิดาแล้ว ยังมีกลิ่นกายหอมชวนหลงใหล เมื่อชายใดแตะต้องหรือ สัมผัสนาง กลิ่นกายนางก็จะหอมติดชายคนนั้นไปถึงเจ็ดวัน เดิมทีนางกากีเป็นพระมเหสีของท้าวบรมพรหมทัต ซึ่งโปรดการเล่นสกามาก และมีพระยาครุฑเวนไตยซึ่งแปลงร่างเป็นมานพรูปงามมาเล่นสกาอยู่ด้วยเนือง ๆ จนวันหนึ่งท้าวบรมพรหมทัตเล่นสกาเพลิน มิได้ไปหานางกากี นางจึงมาแอบดูและสบตาเข้ากับพระยาครุฑแปลง จากนั้นทั้งสองต่างเกิดอาการหวั่นไหว จนพระยาครุฑได้ตัดสินใจลักพาตัวนางไปอยู่ที่วิมานฉิมพลี ทำให้ท้าวพรหมทัตกลัดกลุ้มพระทัยมาก ดังนั้น คนธรรพ์นาฏกุเวร (คนธรรพ์คือเทวดาชั้นผู้น้อยที่มีความชำนาญด้านดนตรี) ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงของท่านท้าวท้าวบรมพรหมทัตจึงอาสาพานางกลับมา โดยการแปลงตัวเป็นไรแทรกอยู่ในขนครุฑเพื่อตามไปที่วิมานของครุฑ 

          จากนั้นเมื่อพระยาครุฑบินออกไปหาอาหารคนธรรพ์นาฏกุเวรก็ปรากฏกายออกมา แต่แทนที่จะพานางกากีกลับเมือง กลับเกี้ยวพาราสีและเล้าโลมนางจนได้เสียกัน ต่อมาคนธรรพ์นาฏกุเวรกลับมารายงานท้าวบรมพรหมทัตว่า นางกากีจะอยู่กับครุฑและตนได้เสียกับนางแล้วเพื่อให้ท้าวบรมพรหมทัตรังเกียจนาง ซึ่งท้าวบรมพรหมทัตก็โกรธแต่ทำอะไรไม่ได้ เมื่อพระยาครุฑแปลงกายมาเล่นสกาอีกก็ถูกคนธรรพ์นาฏกุเวรเยาะเย้ย เมื่อพญาครุฑทราบเรื่องทั้งหมดก็โกรธนางกากีมาก ถึงขั้นนำนางมาปล่อยไว้ในเมือง ส่วนท้าวบรมพรหมทัตเอง เมื่อเห็นนางก็ต่อว่าถากถางก่อนนำนางไปลอยแพกลางทะเล ระหว่างนั้นนางกากีได้รับความช่วยเหลือจากนายสำเภา ก่อนตกเป็นภรรยาของชายผู้นี้ 

          แต่เคราะห์กรรมนางก็ยังไม่หมด เมื่อถูกโจรลักพาตัวไปเพราะหลงใหลรูปโฉม แต่ปรากฏว่า ในหมู่โจรก็เกิดการแย่งชิงนางเกิดขึ้น เมื่อนางหนีไปได้ก็ได้ไปเป็นมเหสีของท้าวทศวงศ์ กษัตริย์อีกเมืองหนึ่ง เมื่อคนธรรพ์นาฏกุเวรได้ครองเมืองแทนท้าวบรมพรหมทัตที่สวรรคตลง ก็ได้ตามไปชิงนางกลับคืนมาโดยการฆ่าท้าวทศวงศ์ เรื่องจึงจบลง ซึ่งนับดูแล้วพบว่า นางกากีมีสามีถึง 5 คน และต้องตกระกำลำบาก รวมถึงถูกสังคมประณามเนื่องจากมีเสน่ห์มากเกินไป

เนื้อหาจาก https://hilight.kapook.com/view/84335
ภาพจาก https://www.dmc.tv/pages/นิทานชาดก/นิทานชาดก-กากาติชาดก.html

นางตะเภาทอง จากเรื่องไกรทอง

ตุลาคม 31, 2561 0 Comments

นางตะเภาทอง

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

         เรื่องนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดพิจิตร ซึ่งมีถ้ำอยู่ในแม่น้ำแห่งหนึ่งและถ้ำนั้นก็เป็นถ้ำของจระเข้กล่าวกันว่าใน ถ้ำมีลูกแก้ววิเศษซึ่งส่องประกายแวววาวทำให้บริเวณถ้ำนั้นสว่างไสวอยู่เป็น นิตย์ ดุจเวลากลางวันเลยทีเดียว เมื่ออยู่ในถ้ำจระเข้ทุกตัวก็จะกลายร่างเป็นร่างเป็นมนุษย์ได้และจะไม่ รู้สึกหิวอะไรเลย ภาย ในถ้ำมีพญาจระเข้ผู้เฒ่าอยู่ตัวหนึ่งชื่อว่า ท้าวรำไพ เป็นราชาแห่งจระเข้ที่ไม่ยอมกินสิ่งมีชีวิตและบำเพ็ญตนถือศีลมาเป็นเวลานาน จระเข้ผู้เฒ่านี้มีบุตรอยู่ตัวหนึ่งชื่อว่า ท้าวโคจร และท้าวโคจรเองก็มีบุตรตัวหนึ่งชื่อว่า ชาละวัน ในเวลาต่อมาท้าวโคจรเกิดทะเลาะวิวาทกับพญาจระเข้ด้วยกันชื่อ ท้าวพันตาและพญาพันวัง ทั้งสามต่อสู้กัน เพื่อชิงความเป็นใหญ่น้ำแต่ผลปรากฏว่า ทั้งสามต้องมาจบชีวิตลงจากบาดแผลที่เกิดจากการต่อสู้กันนั้น ดังนั้นพญาชาลาวัน จึงได้ครอบครองความเป็นใหญ่ในถ้ำโดยไม่มีใครกล้าท้าทายอำนาจหลังจากนั้นก็ได้นางจระเข้สองตัวเป็นภรรยา คือ นางวิมาลา และนางเลื่อมลายวรรณ โดยธรรมชาติของสัตว์กินเนื้อ ถึงแม้ว่ามันจะกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ก็ตามที พญาชาละวันก็ยังมีนิสัยดุร้าย และชอบกินเนื้อมนุษย์ไม่เหมือนกับจระเข้ที่เป็นปู่ของตน พญาจระเข้ตัวใหม่นี้ไม่รักษาศีลแต่อย่างใด วันหนึ่ง พญาชาละวันออกมาจากถ้ำเพื่อหาเนื้อมนุษย์กินเป็นอาหาร ได้ว่ายตามน้ำมาจนถึงท่าน้ำเมืองพิจิตรเวลานั้นสองสาวพี่น้องคือ ตะเภาแก้วและตะเภาทอง บุตรสาวของเจ้าเมืองพิจิตรกำลังลงเล่นน้ำอยู่ในแม่น้ำหน้าบ้านของตนอยู่พอดี สองพี่น้องห้อมล้อมด้วยบ่าวไพร่หลายคน ความงามของตะเภาทองเป็นที่ต้องตาต้องใจของชาละวันมาก มันเกิดความรักในมนุษย์ขึ้นมาในทันที เจ้าสัตว์ร้ายเปลี่ยนใจทันที จากความต้องการที่จะกิจเนื้อเหยื่อกลับกลายเป็นรักเหยื่อดังนั้นมันจึงว่าย น้ำตรงรี่เข้าไปหาหญิงสาวแล้วคาบนางไว้ท่ามกลางความตกตะลึงของบ่าวไพร่ ชาละวันคาบหญิงสาวผู้ไร้เดียงสาไปสู่ถ้ำของตนในทันที ในขณะที่ถูกคาบอยู่ในปากตะเภาทองสลบไสลไม่ได้สติ ชาละวันทำการแก้ไขจนกระทั่งนางฟื้น ครั้นลืมตาขึ้นนางก็ต้องตกใจที่ได้พบกับถ้ำอันวิจิตรตระการตายิ่งนัก เมื่อนางเห็นชาละวันผู้ซึ่งตอนนี้ได้กลายร่างเป็นมนุษย์แล้ว นางก็รู้สึกขวยเขินที่ได้เห็นชายหนุ่มรูปงาม ฝ่ายชาละวันก็จัดการเกี้ยวพาราสีนางจนกระทั่งนางหลงรักและตกเป็นภรรยาคนที่ สามของชาละวันไป และนับจากนั้นมาก็เริ่มมีการทะเลาะวิวาทในระหว่างภรรยาทั้งสามของชาละวัน อยู่เป็นประจำ 
            ความปลอดภัยของลูกสาว ตน และแค้นเคืองเจ้าสัตว์ร้าย เพื่อกำจัดเจ้าจระเข้ร้ายเสีย ท่านเจ้าเมืองจึงป่าวประกาศว่าผู้ใดก็ตามสามารถสังหารจระเข้ได้และสามารถนำ ลูกสาวของตนกลับมาในขณะมีชีวิต จะได้แต่งงานกับนางและได้ส่วนแบ่งในทรัพย์สมบัติของตน ขณะนั้นมีชายหนุ่มวัยแตกพานอายุ 18 ปี อยู่คนหนึ่งชื่อว่า “ไกรทอง” เป็นชาวจังหวัดนนทบุรีได้คุมเรือไปทำการค้าขายอยู่ที่เมืองพิจิตร และได้ถือโอกาสเล่าเรียนวิชาอาคมกับอาจารย์ที่นั่นเขามีความชำนาญในการปราบ จระเข้และสามารถระเบิดน้ำเป็นทางเดินเข้าไปได้ 
            เมื่อไกรทองรู้ข่าวการประกาศให้รางวัล เขาก็อาสาปราบจระเข้โดยไม่รีรอ ก่อนอื่นเขาไปพบอาจารย์และเล่าให้ท่านฟังเกี่ยวกับการพจญภัยในครั้งนี้ อาจารย์ของเขาจึงได้ทำการตรวจดู ดวงชะตาราศีและตรวจดูฤกษ์ยามเห็นว่าไกรทองจะต้องมีชัยชนะในการพิชิตจระเข้ ร้ายได้อย่างแน่นอน แต่เนื่องจากจระเข้ร้ายมีเขี้ยวแก้ว จึงไม่มีอาวุธใดที่จะระคายผิวของมันได้ อาจารย์จึงได้มอบของวิเศษ 3 อย่างให้ไกรทองไปซึ่งก็ได้แก่ เทียนชัย ใช้จุดระเบิดน้ำเป็นทางเดินไปจนถึงที่หมาย มีดหมอลงอาคม และหอกสัตตะโลหะ พร้อมให้พรให้ไกรทองประสบชัยชนะฝ่ายชาละวันหลังจากได้ตะเภาทองเป็นภรรยาคนที่สามแล้ว คืนวันหนึ่งได้ฝันว่าเกิดมีไฟไหม้ขึ้น และ มีเทวดาผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ใช้พระขรรค์ตัดคอตนขาดกระเด็น หลังจากตื่นขึ้นก็ตกใจรีบไปปรึกษาปู่ของตน คือท้าวรำไพผู้ซึ่งรู้ได้ทันทีว่าหลานของตนกำลังตกอยู่ในอันตราย จึงสั่งให้ชาละวันจำศีลอยู่ในถ้ำเป็นเวลา 7 วัน เพราะถ้าเขาขืนออกไปก็จะต้องประสบกับอันตรายอย่างแน่แท้ ชาละวันเกิดความกลัวจึงสั่งให้บริวารจระเข้นำหินมาปิดปากถ้ำไว้อย่างแน่นหนา และเริ่มถือศีลตามคำแนะนำของจระเข้ผู้เป็นปู่ 
            ในขณะเดียวกันหลังจากกล่าวลาผู้เป็นอาจารย์แล้ว ไกรทองก็ต่อแพลอยลงน้ำและประกอบพิธีเรียกราชาแห่งจระเข้มาต่อสู้กัน ชาวบ้านที่อยากดูเหตุการณ์เมื่อรู้ข่าวการล่าพญาจระเข้ทั้งอยู่ใกล้ไกลก็แห่ กันมาดูเหตุการณ์อยู่บนฝั่งแม่น้ำอย่างใจจดใจจ่อและถึงแม้ว่าพญาชาละวันจะ พยายามปกป้องชีวิตของตนอย่างดีที่สุดแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถหนีโชคชะตาไปได้ ดังนั้นพิธีของไกรทองจึงทำให้ชาละวันรู้สึกเร้าร้อนเหมือนถูกไฟเผา เมื่อสุดจะทนไหวแล้วชาละวันก็ลืมคำสั่งของผู้เป็นปู่เสียสนิท พญาชาละวันจึงแผลงฤทธิ์พังประตูถ้ำออกมาแล้วโผล่ขึ้นเหนือน้ำกลายเป็นจระเข้ ใหญ่น่ากลัว แม่น้ำที่สงบเงียบก็ปั่นป่วยด้วยฤทธิ์ของสัตว์ร้าย ทันทีที่ทั้งคู่เผชิญหน้ากันก็เกิดการต่อสู้กันชุลมุน 
            ท้ายที่สุดไกรทองก็แทง สัตว์ร้ายเข้าที่ใต้ราวนมด้วยหอกสัตตะโลหะทันใดนั้นทั่วทั้งลำน้ำก็กลับกลาย เป็นสีแดงฉานพร้อมทั้งกลิ่นคาวเลือด เพื่อปกป้องชีวิตของตนไว้ พญาชาละวันจึงหนีเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในถ้ำใต้น้ำ แต่ว่าไกรทองไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้นเขาตามคู่ต่อสู้ลงไปในถ้ำ โดยจุดเทียนชัยระเบิดน้ำเป็นทางลงไปใต้น้ำเมื่อเข้าไปในถ้ำไกรทองเห็นวิมาลา ภรรยาของชาละวันก็แกล้งทำเป็นเข้าไปลวนลามเพื่อให้นางส่ง เสียงจะได้ยั่วให้สัตว์ร้ายที่กำลังได้รับบาดเจ็บออกมาที่ซ่อน ชาละวันเองเข้าไปหาปู่ของตนเพื่อให้ช่วยรักษาบาดแผลให้ แต่ว่าจระเข้เฒ่าไม่สามารถจะช่วยอะไรได้เพราะชาละวันไม่รักษาสัญญาที่ให้ไว้ เสียงหวีดร้องของภรรยาทำให้เจ้าสัตว์ร้ายเดือดดาลยิ่งนักถึงกับออกมาจากที่ ซ่อนแต่ก็มาถูกแทงตายอยู่ตรงนั้นเอง ไกรทองสามารถช่วยตะเภาทองออกมาได้และนำนางขึ้นสู่เหนือผิวน้ำท่ามกลางเสียง โห่ร้องฝูงชน ด้วยความดีใจอย่างสุดซึ้ง ท่านเจ้าเมืองพิจิตรจึงมอบรางวัลให้ไกรทองตามสัญญาพร้อมกับยกลูกสาว อีกคนหนึ่งคือตะเภาแก้วให้เป็นภรรยาของไกรทองด้วย ดังนั้นไกรทองจึงได้สองพี่น้องเป็นภรรยาพร้อมกับสมบัติอีกส่วนหนึ่งจากท่าน เจ้าเมือง ทั้งสามจึงใช้ชีวิตอยู่ในเมืองพิจิตรอย่างมีความสุข และเรื่องไกรทองนี้ก็นำมาเล่าสู่กันฟังซ้ำอีกทั่วทั้งประเทศ 

เนื้อหาจาก https://sites.google.com/site/thailiterature1316/poll
ภาพจาก http://wwwaomnoi.blogspot.com/p/blog-page_6941.html

นางอุทัยเทวี จากเรื่องอุทัยเทวี

ตุลาคม 31, 2561 0 Comments

นางอุทัยเทวี

       ณ เมืองบาดาล ธิดาพญานาคตนหนึ่งต้องการอยากจะออกมาพบเจอกลับโลกภายนอก จึงแอบหนีมาเที่ยวยังเมืองมนุษย์ และได้เกิดพบรักกับรุกขเทวดารูปงามที่สิงสถิตอยู่ ณ ต้นไม้ริมสระน้ำ ด้วยความรักที่มีให้แก่กัน ธิดาพญานาคจึงได้ตั้งครรภ์และคลอดลูกออกมาเป็นไข่หนึ่งฟอง นางได้ใช้จึงสไบห่อไข่และพ่นพิษคุ้มครองไข่เอาไว้ก่อนจะกลับลงสู่เมืองบาดาลดังเดิม และหวังว่าลูกของตนจะปลอดภัยจากอันตรายทุกประการแต่ก็ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อเวลาผ่านไป ไข่ก็ฝักเป็นเด็กน้อยออกมา แต่ระหว่างที่เด็กน้อยกำลังจะลืมตาดูโลก บังเอิญมีนางคางคกผ่านมาเห็น และแอบกินไข่จนตายด้วยพิษของนางพญานาค เด็กหญิงที่เพิ่งเกิดลืมตามาเห็นนางคางคกก็คิดเอาเองว่านางคางคกเป็นแม่ของตน จึงได้อาศัยอยู่ในซากคางคกเน่าๆนั้นต่อไป จนกระทั่ง มีตายายคู่หนึ่งบังเอิญผ่านมาเห็นเด็กน้อย ก็เข้าช่วยเหลือเลี้ยงดูด้วยความสงสาร และตั้งชื่อให้ว่า “อุทัยเทวี” 

            เวลาผ่านไป นางอุทัยเทวีเติบโตขึ้นเป็นสาวสวยและได้แต่งงานกับเจ้าชายสุทธราช ก่อนการแต่งงานตากับยายได้ยื่นข้อเสนอให้เจ้าชายสร้างสะพานทองเชื่อมระหว่างวังและบ้านเพื่อจะได้ไปมาหาสู่กันได้ เจ้าชายตกลงตามข้อเสนอของตายาย นางอุทัยเทวีจึงได้เป็นสะใภ้แห่งเมืองหลวงแม้ว่านางอุทัยเทวีจะได้เข้าไปเป็นสะใภ้แห่งเมืองหลวงแล้ว มารดาของเจ้าชายก็ยังไม่ชอบใจนางเท่าไรนัก จึงพยายามหาทางให้ลูกของตนตกไปเป็นของสาวอื่น ความพยายามของมารดาเจ้าชายสำเร็จเมื่อเจ้าชายต้องไปแต่งงานใหม่กับเจ้าหญิงฉันทนา โดยมีนางอุทัยเทวีตามไปด้วยตามสัญญา เจ้าหญิงฉันทนาไม่ชอบใจนางอุทัยเทวี และคิดจะกำจัดเสียให้พ้นทาง แต่เคราะห์ดีที่พ่อของนางอุทัยเทวีมาช่วยไว้ทัน นางอุทัยเทวีจึงรอดชีวิตและรอแก้แค้นนางฉันทนาอยู่นอกวังด้วยความกลุ้มใจกลัวว่านางอุทัยเทวีจะเป็นผีมาหลอก ผมของนางฉันทนาจึงเริ่มหงอกทีละเส้นๆ จนทำให้ผมที่เคยดำกลับขาวไปทั้งหัว จนต้องเอาผ้าพันศีรษะไว้ตลอดเวลา ในขณะที่ นางอุทัยเทวีก็แปลงกายเป็นแม่ค้าขายขนมที่ยังคงมีผมดกดำเพื่อรอการแก้แค้น ฝ่ายนางฉันทนาเห็นว่ายายแก่คนนี้น่าจะมีเคล็ดลับการบำรุงรักษาผม จึงได้เรียกให้ยายแก่เข้าไปในวังเพื่อรักษาผมของตนเอง นางอุทัยเทวีที่ปลอมตัวเป็นยายแก่ยื่นข้อเสนอว่า จะรักษาให้ก็ต่อเมื่อนางฉันทนายอมทำทุกอย่างตามที่ตนต้องการโดยห้ามถามอะไรทั้งสิ้น ด้วยความที่อยากจะกลับมาสวยอีกครั้ง นางฉันทนาจึงตกลงรับคำ 
             เมื่อนางอุทัยเทวีเข้ามาถึงตัวนางฉันทนา ก็จับนางโกนผมออกจนหมด กรีดศีรษะ แล้วเอาปลาร้าใส่หม้อครอบหัวนางฉันทนาไว้ โดยห้ามเอาหม้อออกก่อนวันที่ 7 แต่เพียงเวลาไม่ทันข้ามคืน นางฉันทนาก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหว และสิ้นใจตายในที่สุดเจ้าชายสิทธิราชรู้ความ จึงรีบเสด็จกลับไปเมืองของตน และพบว่านางอุทัยเทวียังมีชีวิตอยู่ เจ้าชายและนางอุทัยเทวีจึงได้ครองรักกันอย่างมีความสุขตราบนานเท่านาน

เนื้อหาและภาพจาก https://sites.google.com/site/thailiterature1316/about-me

นางสีดา จาก รามเกียรติ์

ตุลาคม 31, 2561 0 Comments
นางสีดา

      กายสีนวลจันทร์ ทรงมงกุฎกษัตรี นางสีดา คือพระลักษมีมเหสีของพระนารายณ์ที่อวตารลงมาเกิดเพื่อเป็นคู่ของพระราม ครั้งเมื่อนางมณโฑได้กลิ่นข้าวทิพย์ซึ่งฤาษี 5 ตน กวนให้มเหสีทั้งสามของท้าวทศรถเสวย นางมณโฑเกิดความต้องการอยากลิ้มรสบ้าง ทศกัณฐ์จึงให้นางกากนาสูรแปลงเป็นกาไปขโมยข้าวทิพย์มาให้ นางกาโฉบมาได้เพียงครึ่งก้อน เมื่อนางมณโฑเสวยข้าวทิพย์นั้นไปก็ทรงครรภ์ และให้กำเนิดเป็นนางสีดา เมื่อแรกเกิดนางสีดาร้องว่า "ผลาญราพณ์" ถึงสามครั้ง พิเภกได้ทำนายว่า นางเกิดขึ้นมาเพื่อล้างผลาญเผ่าพงศ์ยักษ์ให้หมดสิ้นไปทศกัณฐ์จึงสั่งให้นำนางใส่ผอบลอยน้ำไป ฤาษีชนกหรือท้าวชนกจักรวรรดิซึ่งออกบวชมาพบเข้า จึงนำนางไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม และฝังดินฝากนางไว้กับพระแม่ธรณีไว้เป็นเวลาสิบหกปี นางสีดาจึงถือว่าเป็นลูกของพระแม่ธรณีด้วย ต่อมาวันหนึ่งพระฤาษีชนกเกิดความเบื่อหน่ายในการบวช คิดกลับไปปกครองบ้านเมืองตามเดิม ได้ไถผอบนางสีดาขึ้นมาจากดินตั้งชื่อให้ว่า สีดา (แปลว่า รอยไถ) นางสีดาเป็นผู้มีความงดงามมาก จนแม้ท้าวมาลีวราชผู้ทรงอุเบกขายังกล่าวชมนางหลังจากท้าวชนกจักรวรรดิกลับไปถึงมิถิลานครแล้ว มีความปรารถนาจะให้นางมีคู่ครอง จึงประกาศป่าวร้องไปยังบรรดากษัตริย์ทั้งหลายให้มาลองยกศรศิลปชัย ซึ่งมีมหาธนูโมลีและเกราะคู่บ้านคู่เมือง ผู้ใดสามารถยกได้สำเร็จก็จะได้อภิเษกกับนางสีดา ในที่สุดพระรามเป็นผู้ที่ยกได้สำเร็จจึงได้อภิเษกกับนางและพากลับมายังกรุงอโยธยา เมื่อพระรามออกบวช นางสีดาก็ติดตามไปด้วยพร้อมกับพระลักษมณ์ จนกระทั่งถูกทศกัณฐ์ลักพาตัวไปไว้ยังกรุงลงกา

นางสีดาเคยถูกผู้อื่นแปลงกายให้เหมือนถึง 2 ครั้ง
       1. ทศกัณฐ์ใช้ให้นางเบญกายแปลงเป็นนางสีดาตายลอยตามน้ำมาเพื่อลวงให้พระรามเข้าใจผิดคิดว่านางตายแล้วจะได้ยกทัพกลับไป
           2. อินทรชิตให้สุขาจารแปลงเป็นนางสีดาแล้วนำไปฆ่าต่อหน้าพระลักษมณ์เพื่อลวงให้เข้าใจผิดเมื่อเสร็จศึกลงกาแล้วนางได้ครองราชย์ร่วมกับพระราม แต่เคราะห์ของนางยังไม่หมดสิ้น เนื่องจากนางอดูลซึ่งเคยเป็นข้ารับใช้ของทศกัณฐ์คิดหาทางแก้แค้นแทนทศกัณฐ์ แปลงกายเป็นมนุษย์ สมัครเป็นนางกำนัลของนางสีดาแล้วใช้อุบายหลอกให้นางเขียนภาพทศกัณฐ์ให้ดู เมื่อเขียนภาพแล้วไม่สามารถลบออกได้จนพระรามมาพบเข้า เกิดความระแวงแคลงใจคิดว่านางยังมีจิตผูกพักกับทศกัณฐ์อยู่ แม้ว่านางจะแสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการลุยไฟก็ตาม พระรามก็ยังไม่เชื่อ สั่งให้พระลักษมณ์นำตัวนางไปประหาร แต่พระลักษมณ์ปล่อยนางเข้าป่าไป ซึ่งในขณะนั้นนางได้ตั้งครรภ์แล้ว ต่อมานางสีดาได้อาศัยอยู่กับฤาษีวัชมฤคแล้วให้กำเนิดโอรสชื่อว่า พระมงกุฎ พระฤาษีชุบกุมารขึ้นมาอีกองค์หนึ่งมีหน้าตาเหมือนกันให้ชื่อว่า พระลบ นางสีดาได้เลี้ยงดูกุมารทั้งสองมาด้วยกันเพื่อให้เป็นพี่น้องและเพื่อนเล่นกันต่อมาพระรามได้พบกับพระมงกุฎและพระลบ เมื่อรู้ว่าเป็นพ่อลูกกันพระกุมารทั้งสองจึงหนีไปหาพระฤาษีวัชมฤคจนพระรามได้พบกับนางสีดา พระรามสำนึกในความผิดของตนจึงขอคืนดี แต่นางยังโกรธ และไม่ยอมคืนดีด้วย แต่ยอมให้พระรามพาพระกุมารทั้งสองกลับไปยังกรุงอโยธยา 

            ภายหลังพระรามคิดวิธีหาทางคืนดีกับนาง โดยทำอุบายเป็นสิ้นชีวิตแล้ว นางสีดาตกใจรีบมาเยี่ยมพระศพ พระรามจึงรีบออกมาจากโกศและจับนางไว้ นางสีดาโกรธแล้วอธิษฐานขอแทรกแผ่นดินหนีไปยังเมืองบาดาล พระรามจึงรีบติดตามไปอ้อนวอนขอคืนดีด้วยโดยมีพระอิศวรช่วยเกลี้ยกล่อม ในที่สุดพระรามและนางสีดาก็คืนดีกันและกลับมาเสวยราชย์ร่วมกันอย่างมีความสุข

เนื้อหา https://sites.google.com/site/thailiterature1316/classroom-pictures
ภาพจาก https://sites.google.com/a/tupr.ac.th/thailiterature2/nang-si-da

นางมณีรัตนา(แก้ว) จากเรื่อง แก้วหน้าม้า

ตุลาคม 31, 2561 0 Comments
                                          นางมณีรัตนา(แก้ว) 
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       นางแก้วหน้าม้าเป็นธิดาสามัญชนชาวเมืองมิถิลา เหตุที่นางมีชื่อเช่นนี้เพราะก่อนตั้งครรภ์ผู้เป็นมารดาได้ฝันว่าเทวดานำ แก้วมาให้ พอให้กำเนิดบุตรสาวเลยตั้งชื่อว่า "แก้ว" แต่เนื่องจากใบหน้าเหมือนม้า ชาวบ้านเรียกว่า นางแก้วหน้าม้า นางแก้วนั้นวัยไล่เลี่ยกับพระปิ่นทอง พระโอรสเมืองมิถิลา และมีญาณวิเศษสามารถล่วงรู้ลมฝน จึงเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้าน เมื่อเก็บว่าวจุฬาได้ นางแก้วดีใจจะเก็บไว้เล่นเอง เมื่อพระปิ่นตามมาขอว่าวคืน นางแก้วขอสัญญากับพระโอรสว่าต้องมารับนางเข้าวังไปเป็นมเหสี พระปิ่นรับปากเพียงเพราะหวังอยากได้ว่าวคืน รออยู่หลายวันไม่เห็นพระปิ่นทองมารับ นางแก้วจึงเล่าเรื่องให้พ่อกับแม่ฟัง และขอให้ไปทวงสัญญา เมื่อพ่อแม่ไปทวงสัญญากับพระปิ่น ท้าวภูวดลกริ้วตรัสให้นำตัวไปประหาร แต่พระนางนันทาได้ทัดทานพร้อมเรียกพระโอรสมาสอบถาม พระปิ่นทองยอมรับว่าสัญญาจะให้มาอยู่กับสุนัข เ มื่อพระปิ่นทองสัญญาแล้ว พระนางนันทาสั่งให้ไปรับตัวนางแก้วมาอยู่ในวัง ครั้งไม่มีวอทองมารับสมกับตำแหน่งมเหสี นางแก้วก็ไม่ยอมไป จนในที่สุดนางแก้วได้นั่งในวอทอง พร้อมกับแต่งตัวสวยพริ้ง พอมาถึงวังหลวง ท้าวภูวดลกับพระปิ่นทองเห็นนางแก้วรูปร่างหน้าตาน่าเกลียด กริยามารยาทกระโดกกระเดกก็ทนไม่ได้ คิดหาทางกำจัดนางแก้ว แต่พระนางนันทานึกเอ็นดู 

          นางแก้วเข้าวังมาไม่นาน ท้าวภูวดลกับพระปิ่นทองหาทางกำจัดนางแก้ว โดยให้นางแก้วไปยกเขาพระสุเมรุมาไว้ในเมืองภายใน 7 วัน หากทำไม่สำเร็จจะต้องได้รับโทษประหาร แต่ถ้าทำได้จะจัดพิธีอภิเษกสมรสกับพระปิ่นทอง นางแก้วออกไปตามป่า เสี่ยงสัตย์อธิษฐานกับเหล่าทวยเทพว่าหากตนเป็นเนื้อคู่ของพระปิ่นทอง ขอให้พบเขาพระสุเมรุ เดินทางต่อไปอีกสามวัน พบพระฤาษีรีบเข้าไปกราบและเล่าเรื่องราวทั้งหมด พระฤาษีมีใจเมตตาจึงช่วยถอดหน้าม้าออกให้ นางแก้วกลายเป็นหญิงที่งดงามโสภา แล้วเสกหนังสือเป็นเรือเหาะให้ลำหนึ่งพร้อมมอบอีโต้ไว้เป็นอาวุธ นางแก้วจึงสามารถไปยกเขาพระสุเมรุมาถวายท้าวภูวดลได้สำเร็จ 
          ท้าว ภูวดลพยายามหาหนทางที่จะเลี่ยงคำสัญญาเลยมอบให้พระปิ่นทองเดินทางไปอภิเษก กับเจ้าหญิงทัศมาลี ราชธิดาของท้าวพรหมทัต ก่อนเดินทางไป พระปิ่นทองกล่าวว่า ถ้ากลับมานางยังไม่มีลูกจะถูกประหาร นางแก้วนั่งเรือเหาะตามพระปิ่นทองไปแล้วถอดหน้าม้าออก ไปขออาศัยอยู่กับสองตายายในป่า เมื่อพระปิ่นทองผ่านมา นางแก้วก็ไปอาบน้ำที่ท่า พระปิ่นทองเห็นเข้าเกิดหลงรัก และไปเกี้ยวพาราณสี จนได้นางแก้วเป็นเมีย ต่อมานางแก้วตั้งครรภ์ พระปิ่นทองต้องการกลับกรุงมิถิลาและได้มอบแหวนให้นางแก้วเพื่อยืนยันว่าเด็ก ในท้องนางแก้วเป็นลูกของพระปิ่นทองจริง 
         ขณะเดินทางกลับกรุงมิถิลา ระหว่างอยู่ในทะเลย เรือสำเภาของพระปิ่นทองถูกมรสุมพัดเข้าไปในถิ่นยักษ์ เมื่อนางแก้วคลอดบุตรชายชื่อว่า "ปิ่นแก้ว" ก็คิดจะพาลูกกลับไปหาพระปิ่นทอง โดยได้แวะไปลาพระฤาษี พระฤาษีบอกนางแก้วว่า พระปิ่นทองอยู่ในอันตราย นางแก้วฝากลูกไว้กับพระฤาษีแล้วแปลงร่างเป็นผู้ชายขึ้นเรือเหาะไปรบกับท้าว พาลราช เจ้าเมืองยักษ์ จนได้รับชัยชนะ นางแก้วในร่างชายหนุ่ม จึงเชิญพระปิ่นทองให้ครองเมืองยักษ์ และตนขอเพียงนางสร้อยสุวรรณ ธิดายักษ์ที่อายุเพียง 15 พรรษา และนางจันทรา ธิดายักษ์องค์เล็กวัย 14 พรรษาไปเป็นชายา นางแก้วพาสองธิดายักษ์ไปหาพระฤาษีแล้วเล่าเรื่องราวให้ฟังพร้อมถอดรูปให้ดู สองธิดายักษ์รับปากว่าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ นางแก้วจึงพาสองธิดายักษ์มามอบให้พระปิ่นทอง ต่อมาพระปิ่นทองเดินทางกลับเมืองมิถิลาพร้อมกับสองธิดายักษ์ 
          นาง แก้วได้พาลูกกลับมาเฝ้า พระปิ่นทอง ท้าวภูวดล พระนางนันทา นางสร้อยสุวรรณ และนางจันทร พร้อมกับกราบทูลว่าพระปิ่นแก้วเป็นพระโอรสของพระปิ่นทองกับนางแก้ว พระปิ่นทงกับท้าวภูวดลไม่เชื่อ นางแก้วเลยมอบแหวนที่พระปิ่นทองเคยมอบให้ในร่างนางมณีรัตนา นางสร้อยสุวรรณและนางจันทรช่วยกันเลี้ยงดูพระปิ่นแก้ว แถมยกมือไหว้นางแก้ว พระปิ่นทองสงสัยว่าไปมีลูกกับนางแก้วได้ตั้งแต่เมื่อไร่ 
          เจ้าหญิงทัศนมาลีคิดถึงพระปิ่นทองก็เดินทางมาหาพระปิ่นทอง เมื่อเดินทางมาพบพระปิ่นทองแล้วเกิดการหึงหวงกับนางสร้อยสุวรรณและนาง จันทรสองธิดายักษ์ จนมีเรื่องทะเลาะวิวาท โดยนางแก้วเข้าช่วยเหลือ นางทัศนมาลีเห็นว่าสู้ไม่ได้ จึงหนีกลับเมือง ต่อมาเจ้าหญิงทัศนมาลีได้ให้กำเนิดพระโอรส ตั้งชื่อว่า "เจ้าชายปิ่นศิลปไชย" 
ท้าว กายมาต ผู้ครองนครไกรจักร เป็นญาติของท้าวพาลราชซึ่งถูกแก้วสังหาร และนางสร้อยสุวรรณ กับ นางจันทร กลายเป็นชายาของพระปิ่นทอง ก็เกิดแค้นใจ ยกทัพมาที่เมืองมิถิลา พระปิ่นทองไม่ชำนาญการรบ นางสร้อยสุวรรณและนางจันทรแนะว่าให้ไปขอความช่วยเหลือจากนางแก้วหน้าม้า พร้อมบอกใบ้ให้รู้ความจริง 
         พระปิ่นทองรีบไปง้อขอคืนดีกับนางแก้ว นางแก้วยอมช่วยเพราะเห็นแก่พระนางนันทา โดยแปลงร่างเป็นชายหนุ่มถืออีโต้ไปเฝ้าพระปิ่นทองโดยบอกว่าพี่แก้วให้มาช่วย นางแก้วไม่สามารถทำอะไรท้าวประกายมาตได้ เพราะท้าวประกายมาตมีฤทธิ์รักษาแผลได้ นางแก้วจึงขี่เรือเหาะข้ามศีรษะท้าวประกายมาต ทำให้มนต์เสื่อม จึงสามารถจัดการได้ พอชนะศึกแก้วในร่างของชายหนุ่มขอลากลับทันที พระปิ่นทองจึงมั่นใจว่าต้องเป็นนางแก้วแน่นอน จึงตามไปหาที่ห้องกล่าวง้องอน นางแก้วหน้าม้าก็ทำเป็นเล่นตัว พระปิ่นทองแกล้งทำทีเชือดคอตาย นางแก้วจึงยอมใจอ่อนถอดหน้าม้าออก เมื่อความทราบถึงท้าวภูวดลและนางนันทา ก็ดีพระทัย จึงจัดพิธีอภิเษกสมรสให้นางแก้วเป็นมเหสีของปิ่นทองอย่างเอิกเกริก พร้อมทั้งกับนางแก้วได้ชื่อใหม่ว่า "นางมณีรัตนา" นางแก้วจึงให้คนไปรับพ่อกับแม่มาลี้ยงดูอย่างมีความสุขในวัง ต่อมาไม่นานนางแก้วก็ตั้งครรภ์อีกครั้ง แล้วได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข 


เนื้อหาจาาก http://thaienjoys.blogspot.com/2012/11/blog-post_1165.html
ภาพจาก http://lottery.siamresult.com/content-6933/acleza4-copy-2-copy-319/

นางละเวงวัณฬา จากเรื่อง พระอภัยมณี

ตุลาคม 31, 2561 0 Comments
นางละเวงวัณฬา
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

         นางละเวงวัณฬา เป็นธิดาของของกษัตริย์เมืองลังกา และเป็นน้องสาวของอุษเรนผู้เป็นคู่หมั้นของนางสุวรรณมาลี เมื่อนางอายุได้ 16 ปี นางต้องสูญเสียบิดาและพี่ชายในสงครามสู้รบระหว่างเมืองลังกาและเมืองผลึกเพื่อแย่งชิงนางสุวรรณมาลีกลับคืนจากพระอภัยมณี แม้จะเสียใจจนคิดที่จะฆ่าตัวตายตามพ่อและพี่ชายไป แต่ด้วยความแค้นและภาวะที่บ้านเมืองกำลังขาดผู้นำ นางจึงขึ้นครองเมืองลังกาแทนบิดา และตั้งใจแน่วแน่ที่จะแก้แค้นแทนบิดาและพี่ชายให้จงได้

          ในตอนต้นนางทำศึกด้วยการใช้เล่ห์กลอุบายตามคำแนะนำของบาทหลวง ทั้งนี้ ด้วยความแค้นที่พ่อและพี่ชายถูกฆ่าตายด้วยฝีมือชาวเมืองผลึก แม้ว่าความพยายามของนางในตอนต้น ๆ จะไม่ได้ผล นางก็ไม่ละความพยายาม จนกระทั่งพระอภัยมณียกทัพไปราวีกรุงลังกาเสียเอง ทั้ง ๆ ที่มีความเกลียด ความโกรธ ความอาฆาตแค้นอยู่เต็มอก แต่พอนางได้พบหน้าและได้ต่อปากต่อคำกับพระอภัยมณีศัตรูคนสำคัญเพียงครั้งเดียว นางก็เกิดรู้สึกเสน่หาในตัวพระอภัยมณี แต่ด้วยความที่เป็นเจ้าเมืองลังกา นางละเวงวัณฬาจึงต้องยอมตัดใจเป็นเด็ดขาดและคิดที่จะยกกองทัพกลับมาต่อสู้ให้ชนะจงได้ 
ลักษณะนิสัยที่ดีของนางละเวงวัณฬา

1. มีความกตัญญูต่อบุพการี

2. มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว
3. มีความสามารถในการทำสงคราม เป็นผู้นำที่ดี
4. มีความมุ่งมานะ เพียรพยายาม
5. มีไหวพริบและความเฉลียวฉลาด
 ลักษณะนิสัยที่ไม่ดีของนางละเวงวัณฬา
1. แย่งชิงคนรักของผู้อื่น
2. มีความโกรธ เกลียด อาฆาตแค้นไม่ระงับความโกรธ ขาดความอดทน
3. ไม่มีความจริงใจใช้เล่ห์กลอุบายให้ผู้อื่นหลงเชื่อ

เนื้อหาจาก https://sites.google.com/site/wwwnangniwannakadithaicom/work
ภาพจาก  https://www.gotoknow.org/posts/520711

นางบุษบา จากเรื่อง อิเหนา

ตุลาคม 31, 2561 0 Comments

                                          นางบุษบา                                                        

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ นางบุษบา


              นางบุษบา เป็นธิดาของท้าวดาหาและประไหมสุหรีดาหราวาตี แห่งกรุงดาหา เมื่อตอนประสูติมีเหตุอัศจรรย์คือ มีกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วทั้งวัง ดนตรี   แตรสังข์ก็ดังขึ้นเองโดยไม่มีผู้บรรเลง และเมื่อ ประสูติได้ไม่นาน ท้าวกุเรปันก็ขอตุนาหงันให้กับอิเหนา ทั้งนี้ นางบุษบาเป็นหญิงที่งามล้ำเลิศกว่านางใดใน  แผ่นดินชวา กิริยามารยาทเรียบร้อย คารมคมคาย เฉลียวฉลาดทันคน ใจกว้างและมีเหตุผล จึงทำให้อิเหนารักใคร่หลงใหลนางยิ่งกว่าหญิงใด                                  
            ทว่า นางถูกเทวดาบรรพบุรุษของวงค์อสัญแดหวา คือ องค์ปะตาระกาหลาบันดาลให้ลมพายุหอบไป ทำให้นางต้องพลัดพรากจากอิเหนาเป็นเวลาหลายปีก  ว่าจะได้พบอิเหนาและวิวาห์กัน โดยนางได้ตำแหน่งเป็นประไหมสุหรีฝ่ายซ้าย ทั้งนี้ การที่นางยอมให้อิเหนายกนางจินตะหราเป็นประไหมสุหรีฝ่ายขวาแต่โดยดี       ด้วยเห็นว่านางจินตะหราเป็นผู้มาก่อน แม้ว่าจินตะหราจะไม่ใช่วงศ์เทวัญ ซึ่งข้อนี้ยากที่จะหาหญิงใดเสมอเหมือนและนับว่านางบุษบาเป็นหญิงไทยในวรรณคดีที่   สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติคนหนึ่ง 
ลักษณะนิสัย
   1.  บุษบาเป็นหญิงที่มาแบบฉบับของลูกที่ดีอยู่ในโอวาทของพ่อแม่ แม้ว่านางจะไม่พอใจ ในรูปร่างของจรกาแต่นางก็ยอมที่จะไม่ทำตามใจตนเองเพื่อรักษาชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล
   2.  เป็นคนไม่เจ้ายศเจ้าอย่างหรือถือว่าตนสูงศักดิ์กว่านางจินตะหรา  เห็นได้จากตอนที่     จินตะหราได้ให้นางสการะวาตีและนางมาหยารัศมีมาเฝ้า  บุษบาก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี
   3.  เป็นคนไม่เหลาะแหละ  รู้จักโต้เถียงแสดงความฉลาดรู้ทันอิเหนาและรักษาเกียรติของตนเองไม่ยอม หลงเชื่ออย่างง่าย ๆ  ในตอนที่อิเหนาพูดว่า 
         “อันนางจินตะหราวาตี     ใช่พี่จะมุ่งมาดปรารถนา 
          หากเขาก่อก่อนอ่อนมา     ใจพี่พาลาก็งวยงง……”
(บทละครเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย)


เนื้อหาจาก https://sites.google.com/site/wwwnangniwannakadithaicom/work
ภาพจาก http://milk-sirikanya.blogspot.com/p/blog-page.html 

วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2561

รจนา จากเรื่อง สังข์ทอง

ตุลาคม 30, 2561 0 Comments
รจนา
 à¸œà¸¥à¸à¸²à¸£à¸„้นหารูปภาพสำหรับ รจนา



        เป็นธิดาสุดท้องจากจำนวนเจ็ดองค์ของท้าวสามล พี่ๆเลือกคู่ได้สามีที่คู่ควรกันแล้ว แต่นางรจนากลับเลือกได้เจ้าเงาะรูปชั่วตัวดำ ทั้งๆที่ตนเป็นสาวสวย จึงเป็นที่เยาะเย้ยไปทั่ว ทำให้พระบิดากริ้วไล่ให้ไปตกระกำลำบากที่กระท่อมปลายนา แต่ความจริงที่นางเลือกก็เพราะเห็นรูปทองอยู่ข้างใน เจ้าเงาะถึงจะขี้ริ้วแต่ก็มีวิชาความรู้ จนต่อมาพระอินทร์ต้องแปลงร่างมาตีคลีเพื่อช่วยให้เจ้าเงาะได้ถอดรูปให้ทุกคนได้เห็นรูปทองในที่สุด ดังนั้นสาวๆที่มีสามีขี้ริ้วจึงมักถูกว่าเป็นนางรจนาควงเจ้าเงาะ
         ตอนกำเนิดและชีวิตในวัยเยาว์ของนางรจนาไม่ได้กล่าวไว้  จึงสันนิษฐานว่าชีวิตในวัยเด็กคงราบรื่นไม่มีปัญหาใด ๆ เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่เป็นน้องที่รักของพี่ ๆ จะมามีเรื่องราวก็ตอนโตเป็นสาวแล้วนั้นเอง  ส่วนบทบาทของความเป็นภรรยาเป็นศรีภรรยาและเป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ไม่ขาดตกบกพร่อง
           รจนาเป็นกุลสตรี  เป็นผู้หญิงที่เรียบร้อย  อ่อนน้อมถ่อมตน  อยู่ในกรอบประเพณีและเป็นแม่บ้านแม่เรือน  เป็นหญิงที่มีความอดทนและมีการควบคุมภาวะทางอารมณ์ได้อย่างดียิ่งและเป็นผู้ที่มีความเชื่อมั่นในตัวของตังเองสูง โดยมีสติไม่ได้ตัดสินใจด้วยอารมณ์แต่ตัดสินใจด้วยเหตุผลที่ตนเองได้ไตร่ตรองแล้ว  มีจิตใจที่เป็นอิสระ และมีความเข้มแข็ง จะเห็นได้จากการเลือกคู่ของนางในตอนแรกที่นางไม่เลือกใครเลย และมาครั้งที่สองก็ได้เลือกเจ้าเงาะในที่สุด การกระทำทั้งสองครั้งนี้เป็นสิ่งขัดแย่งกับความคิดความเข้าใจของคนอื่น แต่รจนาก็กล้าคิดกล้ากระทำด้วยความเชื่อมั่นว่าตนเองเป็นผู้ถูก และอดทนจนความจริงปรากฏ


เนื้อหาจาก https://www.gotoknow.org/posts/519825
ภาพจาก https://sites.google.com/site/nangniwannakadee/prawatnangniwannakadee/rodjana 

วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2561

นางมโนราห์ จากเรื่อง พระสุธน-มโนห์รา

ตุลาคม 29, 2561 0 Comments
นางมโนราห์


            นางมโนราห์เป็น ธิดาองค์เล็กของท้าวทุมราชผู้เป็นพระยากินนร นางมีพี่อีกหกองค์ล้วนมีหน้าตางดงามมาก มีปีกและหางที่สามารถถอดออกได้ เมื่อใส่ปีกใส่หางแล้ว ก็สามารถบินได้เหมือนนก นางมโนราห์และพี่น้องทั้งหกได้ไปเล่นน้ำที่สระอโนดาต พรานบุญวางแผนจับตัวนางไปถวายพระสุธน โอรสแห่งเมือง ปัญจาลนครโดยใช้บ่วงนาคบาศจากท้าวชมพูจิต พญานาคราช พรานบุญนำนางมโนราห์ไปถวายแค่พระสุธน พระสุธนเห็นเข้าก็เกิดหลงรักนาง และได้อภิเษกกัน  พระบิดาของพระสุธนได้สุบินและให้ปุโรหิตทำนาย ปุโรหิตซึ่งมีความเคียดแค้นต่อพระสุธนจึงได้ทำนายว่าจะเกิดภับพิบัติครั้งใหญ่ ให้นำนางมโนราห์ไปบูชายัญ ซึ่งท้าวอาทิตยวงศ์ได้ยินยอมตามนั้น  นางมโนราห์ได้ทูลขอปีกขอหางคืนเพื่อเป็นการรำถวายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนถูกบูชายัญหน้ากองไฟก่อนจะตายนางก็ร่ายรำได้สักพักก็บินหนีไป           นางได้เจอพระฤาษีและฝากความถึงพระสุธนว่า ไม่ต้องตามนางไป เพราะมีภยันอันตรายมากมาย และได้ฝากภูษาและธำมรงค์ให้พระสุธน พระสุธนกลับจากสงครามไม่เจอนางมโนราห์ก็มีความโกรธแค้นและสอบสวนและได้ลงโทษปุโรหิต และพระองค์ก้ออกติดตามหานางมโนราห์  พระสุธนได้มาเจอกับพระฤาษี ๆ จึงหาทางช่วยหาทางไปพบ นางมโนราห์           เมื่อพระสุธนมาถึงสระน้ำอโนดาต ได้แอบเอาพระธำมรงค์ใส่ลงในคณโฑของนางกินรีนางหนึ่ง ซึ่งนางกินรีได้นำน้ำนั้นไปสรงให้นางมโนราห์ พระธำมรงค์ได้ตกลงมาทีนางพอดี นางก็รู้ว่าพระสุธนมาหานางแล้ว นางจึงได้แจ้งแก่พระมารดา แต่พระบิดาต้องการทราบว่าพระสุธนมีความรักจริงต่อนางหรือไม่ จึงเรียกลูกทั้งหมดมาให้พระสุธนเลือกว่าคนไหนคือนางมโนราห์ เพราะหน้าตาแต่ละคนนั้นละม้ายคล้ายคลึงกัน ร้อนถึงองค์อินทร์ ต้องแปลงกายมาเป็นแมลงวันทอง จับที่ผมของนางมโนราห์ ทำให้พระสุธนรู้ว่านางคนนั้นคือนางมโนราห์ชายาของตน เมื่อพระสุธนเลือกนางมโนราห์ได้ถูกต้องก็ได้อภิเษกและอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข


เนื้อหาจากhttps://www.gotoknow.org/posts/556019
ภาพจาก https://sites.google.com/site/nangniwannakadee/prawatnangniwannakadee/nang-manorah-1